ในมุมหนึ่งความขัดแย้งเกิดขึ้น เพราะเราแต่ละคนมักจะคิดว่า การหลบหนีหน้า การไม่ยอมเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หรือ การพูดอย่างนุ่มนวล และปกปิดความจริง น่าจะเป็นวิธีการที่นุ่มนวล เรียกว่า บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

Q1  “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว” พระคัมภีร์ตอนนี้กำลังสอนอะไรเราเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง?
Q2  การพูดความจริงไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัว ถ้าเราเรียนรู้ที่จะพูดด้วยความรัก และความห่วงใย คำโกหกอาจจะทำให้สถานการณ์ดูดีขึ้น แต่เมื่อความจริงปรากฏ ทุกอย่างจะเลวร้ายกว่าเดิม คิดถึงความขัดแย้งที่คุณมี อธิษฐานของสติปัญญาจากพระเจ้าที่จะแก้ไขด้วยความจริง ที่ประกอบด้วยความรักและห่วงใย

ทะเลสาบกาลิลีเป็นทะเลสาบที่มีภูเขาอยู่ล้อมรอบ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดพายุใหญ่โดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งทุกคนในบริเวณทราบเรื่องนี้กันเป็นอย่างดี พระเยซูคริสต์ซึ่งทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ได้นอนพักอยู่ท้ายเรือ ในเวลานั้นเองได้เกิดพายุใหญ่เกิดขึ้นและพระคัมภีร์บันทึกว่า จนมีคลื่นใหญ่และน้ำเข้าเรือจนเกือบจะจม

Q1  พวกสาวกพยายามที่จะรักษาเรือไว้ แต่สุดท้ายก็หมดความสามารถต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ? (ดูข้อ 39, 41 ประกอบ)
Q2  คำพูดของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “ทำไมเจ้ากลัว เจ้าไม่มีความเชื่อหรือ” หนุนใจคุณอย่างไรในการเผชิญหน้ากับเรื่องราวบางอย่างในชีวิตของคุณที่เปรียบเสมือน “พายุใหญ่” ในเวลานี้

30พระองค์ตรัสอีกว่า “แผ่นดินของพระเจ้า จะเปรียบเหมือนสิ่งใด หรือจะสำแดงด้วยคำอุปมาอย่างไร 31ก็อุปมาเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง เวลาเพาะลงในดินนั้น ก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน 32แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญโตใหญ่กว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้”

Q1  อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ช้าๆ 2-3 รอบ ค่อยๆ ให้เนื้อหาของพระคัมภีร์ปรากฏเป็นภาพในความคิดของคุณ คำว่า “เมล็ดพืช” “เพาะลงในดิน” “เมล็ดเล็ก” “จำเริญโตกว่าผักทั้งปวง” “แตกกิ่งก้านใหญ่” “ทำรังอาศัยได้” ช่วยให้คุณเห็นถึงกระบวนการเติบโตในความเชื่อของผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างไร?
Q2  คุณจะให้พระธรรม โคโลสี 2:6-7 ที่ว่า “6เหตุฉะนั้นเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เจ้าแล้วฉันใด จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น 7จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ และมั่นคงอยู่ในความเชื่อ ตามที่ท่านได้รับคำสั่งสอนมาแล้ว และจงบริบูรณ์ด้วยการขอบพระคุณ”เป็นจริงในชีวิตของคุณได้อย่างไร?

26พระองค์ตรัสว่า “แผ่นดินของพระเจ้าอุปมาเหมือนคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน 27แล้วกลางคืนก็นอนหลับ และกลางวันก็ตื่นขึ้น ฝ่ายพืชนั้นจะงอกจำเริญขึ้นอย่างไรเขาก็ไม่รู้ 28เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง 29ครั้นสุกแล้วเขาก็ใช้คนไปเกี่ยวเก็บทีเดียว เพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว”

Q1  อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ช้าๆ 2-3 รอบ ค่อยๆ ให้เนื้อหาของพระคัมภีร์ปรากฏเป็นภาพในความคิดของคุณ คำว่า “หว่านพืชลงในดิน” “งอกจำเริญขึ้น” “เป็นลำต้น” “ออกรวง” “เมล็ดข้าว” “สุก” “เก็บเกี่ยว” ช่วยให้คุณเห็นถึงกระบวนการในประกาศข่าวประเสริฐอย่างไร?
Q2  โรม 10:17 เขียนไว้ว่า “ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์” คุณจะมีส่วนในการหว่านพระวจนะของพระเจ้า (ประกาศ) หรือจะมีส่วนในการเก็บเกี่ยว (พาคนมาเชื่อพระเยซูคริสต์) ได้อย่างไร?

คำอุปมาเรื่องต่อมาของพระเยซูคริสต์ก็สอดคล้องกับคำอุปมาดิน 4 แบบ ดูเหมือนว่า คำอุปมาเรื่องนี้พยายามที่จะอธิบายเพิ่มเติมว่า ดินที่ดี ดินที่เกิดผลนั้น ควรจะมีลักษณะอย่างไร พระองค์ทรงใช้คำถามที่รู้คำตอบแล้วอีกครั้ง นั้นคือ “เขาเอาตะเกียงมาสำหรับตั้งไว้ใต้ถัง ใต้เตียงนอนหรือ และมิใช่สำหรับตั้งไว้บนเชิงตะเกียงหรือ?” ซึ่งคำตอบคือ ไม่ได้ตั้งไว้ใต้ถัง ใต้เตียง แต่ตั้งไว้บนเชิงตะเกียง”

Q1  คำว่า “ตั้งไว้บนเชิงตะเกียง” “ไม่มีสิ่งใดซ่อนไว้” “ไม่มีสิ่งใดไม่ปรากฏ” “ไม่มีสิ่งใดปิดบัง” และ “ใครมีหู จงฟังเถิด” เกี่ยวข้องกับการเกิดผลดีอย่างไร?
Q2  คุณจะนำคำเตือนของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่ฟังให้ดี” ไปใช้ในการดำเนินชีวิตที่เป็นดินดี และเป็นแสงสว่างได้อย่างไร?

3510/5215