มาระโกกล่าวถึงการเผชิญหน้าครั้งใหม่ของพระเยซู มีคนเปรียบเทียบว่า ตอนนี้ลูกศิษย์ของยอห์น และลูกศิษย์ของฟาริสีกำลังถืออดอาหาร แต่ลูกศิษย์ของพระเยซูคริสต์ไม่ได้กระทำ (ในเวลานั้นการอดอาหารจะทำในวันที่สอง และวันที่ห้าของสัปดาห์ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ การกระทำเช่นนี้จะทำให้คนที่ถืออดอาหารนั้นมีความน่าเลื่อมใส และชอบธรรมมากกว่าคนอื่น) ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ตอบโดยใช้อุปมาถึง 3 เรื่องคือ 1.เจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าว 2 ผ้าใหม่ไปปะผ้าเก่า และ 3.น้ำองุ่นหมักใหม่กับถุงหนังเก่า เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า เวลาของการถืออดอาหารจะมีแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะการถืออดอาหาร เป็นภาพที่แสดงถึงวาระของความโศกเศร้า

Q1  พระเยซูคริสต์ไม่ได้ต่อต้านเรื่องการถืออาหาร แต่ยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้เจ้าบ่าวคือ พระเยซูคริสต์อยู่ที่นี่ เป็นเวลาที่ต้องชื่นชมยินดี เป็นเวลาที่มีความสุขเหมือนกับ การรับประทานอาหารในงานเลี้ยงแต่งงาน เวลาที่ต้องโศกเศร้าคือ “เวลาที่เจ้าบ่าวต้องจากสหายไป” เวลาที่เจ้าบ่าวต้องจากสหายไป หมายถึงเวลาใด?
Q2  ความสุข ความชื่นชมยินดีไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึ้นเพราะการได้รู้จักและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ลองทบทวนชีวิตของคุณว่า วันนี้คุณดำเนินชีวิตแบบไหนอยู่?
หมายเหตุ : # การใช้ผ้าใหม่ปะผ้าเก่า จะทำให้ผ้าเก่าขาด เพราะผ้าใหม่จะหดตัว ในขณะที่ผ้าเก่าไม่หดตัวแล้ว # การหมักน้ำองุ่นใหม่ ต้องใช้ถุงหนังใหม่ เพราะน้ำองุ่นใหม่จะก่อให้เกิดแก๊ส จนทำให้ถุงหนังขยายตัวเต็มที่ และอยู่ตัว ถ้านำน้ำองุ่นใหม่มาใส่ถุงหนังเก่า แก๊สที่เกิดขึ้นจะทำให้ถุงหนังเก่าแตก เพระถุงหนังเก่าไม่สามารถขยายตัวได้อีก

ในพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายของประชาชน พระองค์ทรงเรียกเลวี ซึ่งมีชื่อหนึ่งว่า มัทธิว (มัทธิว 9:9) ซึ่งเป็นคนเก็บภาษี ให้เป็นสาวกของพระองค์ติดตามพระองค์ ซึ่งเลวีก็ลุกขึ้นติดตามพระเยซูคริสต์แบบทันทีทันใด แถมยังเชิญพระเยซูคริสต์และสาวกไปรับประทานอาหารที่บ้านอีก ทำเอาธรรมาจารย์และฟาริสีไม่พอใจ เพราะเห็นว่าเลวีเป็นคนบาปเนื่องจากมีอาชีพเก็บภาษี (หมายเหตุ : คนยิวไม่ชอบคนเก็บภาษี เพราะคนเก็บภาษีทำงานให้กับโรม และคนเก็บภาษีส่วนมากมักจะเก็บภาษีเกินกว่าที่จะส่งไป เพื่อตนเองจะสบาย เรียกว่า ขูดรีดเงินจากพี่น้องชนชาติเดียวกัน เพื่อส่งให้กับศัตรูคือ โรม)

Q1  จากคำพูดของพระเยซูคริสต์ในข้อ 17 ที่ว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต” “คนเจ็บ” ในที่นี่หมายถึงใคร? “คนที่สบาย” หมายถึงใคร? และ “หมอ” หมายถึงใคร?
Q2  พระเยซูคริสต์ทรงมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการที่จะช่วยเหลือคนที่รู้ตัวว่าตนเองผิดบาป และต้องการที่จะได้รับการยกโทษ ให้อภัย ในวันนี้คุณคือคนที่เคยเจ็บป่วย และได้รับการรักษาให้หายแล้ว ถ้าวันนี้คุณเจอกับคนที่เคยเจ็บป่วยเหมือนคุณ คุณจะทำอย่างไร?

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นครูที่ชาญฉลาด พระองค์สามารถใช้เรื่องราวธรรมดาที่เกิดขึ้นเป็นปกติทั่วๆ ไป เพื่อจะสอนเรื่องราวฝ่ายจิตวิญญาณด้วย ในการรักษาคนง่อยครั้งนี้ก็เช่นกัน พระองค์ทรงฉวยโอกาสเพื่อจะสอนบทเรียนฝ่ายจิตวิญญาณ โดยเฉพาะกับธรรมาจารย์ผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นครูสอนศาสนา เป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ

Q1  พระเยซูคริสต์ทรงตอบสนองอย่างไรต่อความสงสัยของธรรมาจารย์ เมื่อพวกเขาสงสัยเกี่ยวกับคำพูดของพระองค์ในการยกโทษบาป? (ดูข้อ 5-7 ประกอบ) และการตอบสนองของพระเยซูคริสต์ช่วยให้ธรรมาจารย์เข้าใจในเรื่องการยกโทษบาปมากขึ้นอย่างไร? (ดูข้อ 8-11 ประกอบ)
Q2  คำพูดของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” ช่วยให้คุณมั่นใจได้อย่างไรว่า ทุกครั้งที่คุณเผลอพลั้งพลาดทำบาป และคุณได้อธิษฐานสารภาพบาป คุณจะได้รับการยกโทษบาปทั้งหมด (อ่าน 1 ยอห์น 1:9 ประกอบ)

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งเป็นเมืองสำคัญที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้เวลาทำพันธกิจของพระองค์ เพราะมีผู้คนจำนวนมากที่อยากจะเข้ามาฟังคำสั่งสอนของพระองค์ รวมถึงการนำคนที่เจ็บป่วย หรือถูกผีเข้าสิงมาให้พระองค์รักษา และในเหตุการณ์นี้มีคนสี่คนหามคนป่วยที่เป็นง่อยมาพบกับพระเยซูคริสต์ โดยมีความหวังใจว่า คนง่อยจะหายและกลับมาเดินได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ปัญหาที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่คือคนเป็นจำนวนมากที่มาชุมนุมจนไม่สามารถเข้าไปถึงประตูได้

Q1  ชายทั้งสี่คนแก้ไขปัญหาอย่างไร จึงสามารถนำคนง่อยเข้าไปพบกับพระเยซูคริสต์ และได้รับการรักษาจนเดินได้อีกครั้งหนึ่ง? (ดูข้อ 4-5 ประกอบ)
Q2  คุณเคยคิดบางไหมว่า คุณเองก็เป็นคนง่อยในฝ่ายจิตวิญญาณในบางเรื่อง ความพยายามของคนหามแคร่ทั้ง 4 คน เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคุณในการแสวงหาการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณกับพระเจ้าในชีวิตของคุณอย่างไร?

คนโรคเรื้อนในสังคมของคนยิว เป็นกลุ่มคนที่น่าสงสารมาก เพราะคนกลุ่มนี้จะถูกตัดออกจากสังคม ห้ามเข้าใกล้คนอื่น เพราะโรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อ นอกจากนี้คนโรคเรื้อนยังถือว่าเป็นคนที่มีมลทิน ไม่มีสิทธิในการเข้าไปในพระวิหารเพื่อจะนมัสการพระเจ้า อาชีพหลักๆ ที่คนโรคเรื้อนทำได้คือ ขอทาน โดยจะนั่งอยู่ที่บริเวณริมทางเดิน ประตูเมือง หรือริมทางเดิน บริเวณที่มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา

Q1  คำว่า “วิงวอน” “เพียงแต่พระองค์ทรงโปรด” (ข้อ 40) “สงสาร” “แตะต้อง” “เราพอใจแล้ว” (ข้อ 41) มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรที่ทำให้ชายคนนี้หายจากการเป็นโรคเรื้อน?
Q2  คุณอาจจะไม่ได้เป็นโรคเรื้อนในด้านของร่างกาย แต่คุณมีโรคเรื้อนในฝ่ายจิตวิญญาณหรือไม่ โรคเรื้อนที่ทำให้คุณขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า โรคเรื้อนที่ทำให้คุณไม่อยากอ่านพระคัมภีร์ ไม่อยากอธิษฐาน ไม่อยากไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักร ไม่อยากมีสามัคคีธรรมกับพี่น้อง ใช้เวลานี้อธิษฐานวิงวอน ทูลขอการรักษาจากพระเจ้า
หมายเหตุ : การที่คนโรคเรื้อนที่หายแล้วต้องไปแสดงตัว และถวายเครื่องบูชา เพื่อทุกคนในสังคมจะได้รับทราบว่า คนคนนั้นหายแล้ว และสามารถกลับเข้ามาอยู่ในสังคมได้ตามปกติ

3520/5214