พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จจากเมืองคาเปอรนาอุม ไปยังเมืองไทระ และเมืองไซดอน ซึ่งเป็นเมืองของคนต่างชาติ ห่างออกไปประมาณ 48 กิโลเมตร โดยที่ไม่ได้อยากให้ใครรู้ (ข้อ 24) แต่ข่าวของพระองค์ที่เดินทางก็หลุดไปถึงหูประชาชนจนได้ และที่นี่มีหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวซีเรียฟีนิเซีย ได้มาอ้อนวอนพระองค์ขอให้รักษาลูกสาวที่ถูกผีสิง ซึ่งพระเยซูคริสต์ก็บอกปฏิเสธไป โดยพูดเป็นคำอุปมาอุปไมย (ข้อ 27) เพื่อจะบอกว่า งานหลักของพระองค์คือ มาช่วยอิสราเอลก่อน ไม่ได้เพื่อช่วยคนต่างชาติก่อน
Q1 หญิงชาวซีเรียฟีนิเซียตอบสนองต่อคำพูดของพระเยซูคริสต์อย่างไร? และผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไร? (ดูข้อ 28-30 ประกอบ)
Q2 ความเชื่อของหญิงคนนี้ทำให้ลูกสาวของเธอหาย คุณมีสิ่งใดบ้างที่อธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ท่าทีของหญิงคนนี้และผลลัพธ์ที่เธอได้รับ หนุนใจคุณให้รักษาการอธิษฐานอย่างต่อเนื่องในเรื่องเหล่านั้นกับพระเจ้าอย่างไร
หมายเหตุ : ถึงแม้ว่าในสังคมยิว จะมีการพูดเปรียบเทียบว่า คนต่างชาติ เหมือนกับสุนัข แต่พระเยซูคริสต์ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะดูถูกและดูหมิ่นหญิงต่างชาติ แต่ต้องการเน้นถึง “บทบาทและหน้าที่หลักของพระองค์” เพราะในมัทธิว 15:28 ซึ่งบันทึกเรื่องราวเดียวกัน พระเยซูคริสต์เรียกหญิงนั้นว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด” ซึ่งคำว่า หญิงเอ๋ย ตรงนี้มีความหมายถึงลูกสาว